วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปฏิทินวัฒนธรรมอ.รัตนวาปี

มกราคม
วันขึ้นปีใหม่
ที่มา  :  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ  กระทรวงศึกษาธิการ
            
ปีรณรงค์และสืบสานงานวัฒนธรรมไทย  ปี ๒๕๓๗ - ๒๕๔๐
สถานที่จัดกิจกรรม
    
ลานเอนกประสงค์  หน้าที่ว่าการอำเภอรัตนวาปี  อำเภอรัตนวาปี  จังหวัดหนองคาย
ประวัติความเป็นมา
         ชาวไทยแต่ก่อนมาเริ่มขึ้นปีใหม่เป็น  ๓  ระยะ  คือขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติ  โดยนับปีนักษัตรเป็นเกณฑ์  เริ่มวันขึ้น  ๑  ค่ำ  เดือน  ๕  เป็นประเพณีมีตรุษ  ระยะ  ๑  เริ่มปีใหม่ตามเกณฑ์จุลศักราชตามปรกติตกในราววันที่  ๑๓  เมษายน  เป็นประเพณีมีสงกรานต์และมีงานนักษัตรฤกษ์  ๓  วัน  วันต้นเป็นวันสงกรานต์  วันที่  ๒  เป็นเนาว์  และวันที่  ๓  จึงเป็นวันเถลิงศกเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ระยะ  ๑  และขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติ  คือวันที่  ๑  เมษายน  ซึ่งประกาศใช้มาแต่ พ.ศ.๒๔๓๒  ในรัชกาลที่ ๕  และได้ประกอบพิธีฉลองปีใหม่ในวันนั้น  เป็นประเพณีสืบมาแต่ก่อน ครั้นต่อมา  รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง  พิจารณาเสนอว่า  วันขึ้นปีใหม่ของไทยควรจะได้เป็นไปตามสากลนิยม  จึงได้ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่  ๑  มกราคม  มาแต่ปี  พ.ศ.๒๔๘๔  ตามประกาศลงวันที่  ๒๔  ธันวาคม  พ.ศ.๒๔๘๓  ต่อไปนี้
ความเชื่อของมนุษย์ในเรื่องขึ้นปีใหม่
          มวลมนุษย์เกือบทุกชาติทุกภาษา  ต่างมีความเชื่อถือสอดคล้องต้องกันในเรื่องการขึ้นปีใหม่ว่าเป็นสมัยที่ได้สลัดของเก่าทิ้งไปและรับของใหม่เข้ามา  แม้ตลอดจนความรู้สึกภายในจิตใจ  เช่น  ชาวโรมันและเยอรมันโบราณถือว่า  เมื่อขึ้นปีใหม่นั้นเป็นเวลาที่พวกเขาได้สลัดปีเก่าทิ้งไป  และรับปีใหม่เข้ามาแทนเป็นสมัยที่สลัดความยุ่งยากลำบากใจ  และความเหนื่อยอ่อนที่มีอยู่เก่านั้นทิ้งเสีย  แล้วรับเอาไว้แต่ของดีๆ  ที่จะมีในปีใหม่  ชาวอิหร่านเห็นกันว่าปีใหม่นั้นเป็นประดุจสมัยแห่งการเกิดใหม่ของสรรพสิ่งทั้งหลาย  เป็นสมัยแห่งการฉลองชัยของพระสุริยเทพ  และของธรรมชาติ  ตลอดจนของมวลมนุษย์
         
จีน  ญี่ปุ่น  ชาวอินเดียแดงในอเมริกาเหนือ  และประชาชนอีกหลายชาติ  ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ  กันนี้  คือ  เมื่อจะขึ้นปีใหม่ก็เอาเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวเก่าออกทิ้งหมด  แล้วสวมชุดใหม่ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด  ก่อไฟใหม่  ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องเป็นของใหม่และสะอาดสะอ้านเพื่อต้อนรับปีใหม่  เหมือนชาติที่กล่าวมาข้างต้น
         
บางท่านกล่าวว่าการที่มนุษยชาติได้ตกแต่งตัวใหม่ด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มใหม่นี้  ทางจิตวิทยาถือว่าเป็นการเลียนธรรมชาติเพื่อให้เหมาะสมกับสมัย  ซึ่งแม้ธรรมชาติเองก็ยังมีการคลี่คลายเบิกบานด้วยชีวิตใหม่  โลกยังมีเวลาตกแต่งผิวพื้นใหม่ด้วยการผลิดอกออกใบแห่งพรรณพฤกษาลดาชาติ  มวลมนุษย์ก็ควรจะเปลี่ยนใหม่เช่นกัน
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่พึงปฏิบัติ
        anibilliard_green.gif ทำความสะอาดอาคารสถานที่  โรงเรียน  วัด  สถานที่ทำงาน  เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ  เพื่อต้อนรับวันขึ้นปีใหม่
        
anibilliard_green.gif ทำบุญให้ทาน
        
anibilliard_green.gif ปล่อยนก  ปล่อยปลา
        
anibilliard_green.gif  เยี่ยมเยียนบิดามารดา  ญาติผู้ใหญ่ ขอพร-รับพร
        
anibilliard_green.gif  มอบของขวัญให้แก่กันและกัน
        
anibilliard_green.gif  อวยพรให้มีความสุขความเจริญในวันขึ้นปีใหม่
        
anibilliard_green.gif  มอบบัตรอวยพรให้แก่กันและกัน
        
anibilliard_green.gif  กิจกรรมอื่นที่เหมาะสม

กุมภาพันธ์
 วันมาฆบูชา
มา  :  สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ  กระทรวงศึกษาธิการ
            
ปีรณรงค์และสืบสานงานวัฒนธรรมไทย  ปี ๒๕๓๗ - ๒๕๔๐
สถานที่จัดกิจกรรม
    
วัดหนองคอน    ตำบลโพนแพง  อำเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย
ความสำคัญ
        วันมาฆบูชา  เป็นวันขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน ๓  มีเหตุการณ์อัศจรรย์ที่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน  ๑,๒๕๐  รูป  มาเฝ้าพระพุทธเจ้า  ณ  วัดเวฬุวัน  เมืองราชคฤห์  แคว้นมคธ  โดยมิได้นัดหมายกัน  พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์  ผู้ได้อภิญญา  ๖  และเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า  ในวันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น  ซึ่งเป็นหลักการ  อุดมการณ์และวิธีการปฏิบัติที่นำไปใช้ได้ทุกสังคม  มีเนื้อหาโดยสรุปคือให้ละความชั่วทุกชนิด  ทำความดีให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส
ประวัติความเป็นมา
๑.  ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

         หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้  ๙  เดือน  ขณะนั้นเมื่อเสร็จพุทธกิจแสดงธรรมที่ถ้ำสุกรขาตาแล้ว  เสด็จมาประทับที่วัดเวฬุวัน  เมืองราชคฤห์  แคว้นมคธ  ประเทศอินเดียในปัจจุบัน  วันนั้นตรงกับวันเพ็จเดือนมาฆะ  หรือเดือน  ๓  ในเวลาบ่ายพระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า  จำนวน  ๑,๒๕๐  รูป  ได้มาประชุมพร้อมกัน  ณ  ที่ประทับของพระพุทธเจ้า  โดยมิได้นัดหมายกันไว้ก่อน นับเป็นเหตุอัศจรรย์ที่มีองค์ประกอบสำคัญ  ๔  อย่าง  คือ
         
๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๓
         
๒. พระสงฆ์จำนวน  ๑,๒๕๐  รูป  มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
         
๓. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖
         
๔. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นผู้ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า
         
เพราะเหตุที่มีองค์ประกอบสำคัญดังกล่าวจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  วันจาตุรงคสันนิบาตและในโอกาสนี้พระพุทธเจ้าได้แสดงโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์เหล่านั้น  ซึ่งถือได้ว่า  เป็นการประกาศหลักการ  อุดมการณ์  และวิธีปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา
๒.  การถือปฏิบัติวันมาฆบูชาในประเทศไทย
           
พิธีวันมาฆบูชานี้  เดิมทีเดียวในประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายไว้ว่า  เกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  โดยทรงถือตามแบบของโบราณบัณฑิตที่ได้นิยมกันว่า  วันมาฆบูรณมีพระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะเต็มบริบูรณ์  เป็นวันที่พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า  ๑,๒๕๐  รูป  ได้ประชุมกันพร้อมด้วยองค์ ๔  ประการ  เรียกว่า  จาตุรงคสันนิบาต  พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมสงฆ์  เป็นการประชุมใหญ่  และเป็นการอัศจรรย์ในพระพุทธศาสนานักปราชญ์จึงถือเอาเหตุนั้นประกอบการสักการะบูชาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก  ,๒๕๐  รูป  นั้น  ให้เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
         
การประกอบพิธีมาฆบูชา  ได้เริ่มในพระบรมมหาราชวังก่อน  ในสมัยรัชกาลที่ ๔  มีพิธีการพระราชกุศลในเวลาเช้า  พระสงฆ์วัดบวรนิวเวศวิหารและวัดราชประดิษฐ์  ๓๐  รูป  ฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเวลาค่ำ  เสด็จออกทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว  พระสงฆ์สวดทำวัตรเย็นเสร็จแล้วสวดมนต์ต่อไป  มีสวดคาถาโอวาทปาติโมกข์ด้วย  สวดมนต์จบทรงจุดเทียนรายตามราวรอบพระอุโบสถ  ๑,๒๕๐  เล่ม  มีการประโคมอีกครั้งหนึ่ง  แล้วจึงมีการเทศนาโอวาทปาติโมกข์  ๑  กัณฑ์  เป็นทั้งเทศนาภาษาบาลีและภาษาไทย  เครื่องกัณฑ์มีจีวรเนื้อดี  ๑  ผืน  เงิน  ๓  ตำลึง  และขนมต่างๆ  เทศนาจบพระสงฆ์ซึ่งสวดมนต์  ๓๐  รูป  สวดรับ
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่พึงปฏิบัติ
๑. กิจกรรมเกี่ยวกับครอบครัว

        
anibilliard_green.gif ทำความสะอาดบ้าน  ประดับธงชาติและธงธรรมจักร  และจัดแต่งที่บูชาประจำบ้าน
        
anibilliard_green.gif ศึกษาเอกสาร  หรือสนทนา  เกี่ยวกับวันสำคัญของวันมาฆบูชา  รวมทั้งหลักธรรม  คือ โอวาทปาติโมกข์และแนวทางปฏิบัติในครอบครัว
        
anibilliard_green.gif นำครอบครัวไปบำเพ็ญกุศล  ทำบุญตักบาตร  บริจาคทาน
        
anibilliard_green.gif ปฏิบัติธรรมที่วัด  รักษาศีล  ไหว้พระ  สวดมนต์  ฟังธรรม  เวียนเทียน  เจริญภาวนา
๒. กิจกรรมเกี่ยวกับสถานศึกษา
        
anibilliard_green.gif ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียน  ประดับธงชาติและธงธรรมจักร  และจัดแต่งโต๊ะหมู่บูชา
        
anibilliard_green.gif ครูและนักเรียนร่วมกันศึกษาถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา  และหลักธรรม  คือ โอวาทปาติโมกข์และแนวทางปฏิบัติในสถานศึกษา
        
anibilliard_green.gif ครูให้นักเรียนจัดทำป้ายนิเทศ  หรือจัดนิทรรศการ  ประกวดเรียงความ  ทำสมุดภาพตอบปัญหาธรรม  บรรยายธรรม  อภิปรายธรรม
        
anibilliard_green.gif ประกาศเกียรติคุณของนักเรียนที่ประพฤติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี
        
anibilliard_green.gif ครูพานักเรียนไปร่วมกิจกรรมกับชุมชนที่วัด  บำเพ็ญกุศล  ทำบุญตักบาตร  บริจาคทาน  รักษาศีล  ฟังธรรม  สนทนาธรรม  เวียนเทียน  เจริญภาวนา
 
๓. กิจกรรมเกี่ยวกับสถานที่ทำงาน
        
anibilliard_green.gif ทำความสะอาดบริเวณที่ทำงาน  ประดับธงชาติและธงธรรมจักร  และจัดแต่งโต๊ะหมู่บูชา
        
anibilliard_green.gif ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชา  และหลักธรรม  คือ  โอวาทปาติโมกข์  และแนวทางปฏิบัติในสถานที่ทำงาน
        
anibilliard_green.gif จัดให้มีการบรรยายธรรมและสนทนาธรรม
        
anibilliard_green.gif ร่วมกันบำเพ็ญสาธารณประโยชน์  ปลูกต้นไม้  บริจาคโลหิต
        
anibilliard_green.gif หัวหน้าหน่วยงานให้โอกาสผู้ร่วมงานไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีนิยม

มีนาคม
 บุญเผวด
ที่มา  :  www.isangate.com
 สถานที่จัดกิจกรรม    อำเภอรัตนวาปี  อำเภอรัตนวาปี  จังหวัดหนองคาย
   
หลายคนคงจะสงสัยอยู่ว่าคำว่า "ผะเหวด" มีความหมายอย่างไร คำว่า "ผะเหวด" นั้นเป็นการออกเสียงตามสำเนียงอีสาน มาจากคำว่า "พระเวส" หมายถึงพระเวสสันดร งานบุญผะเหวดเป็น ในประเพณี 12 เดือน หรือ ฮีตสิบสอง ของชาวอีสาน (การทำบุญประเพณี 12เดือน) โดยพระเพณีนี้จะจัดขึ้นในเดือนที่ ของไทยหรือเดือนมีนาคม โดยกำหนดจัดงานในวันเสาร์และอาทิตย์แรกของเดือนมีนาคมทุกปี
     
ประเพณีบุญผะเหวดหรือบุญเดือนสี่นั้น สะท้อนให้เห็นถึง ความศรัทธาอันแรงกล้าในพระพุทธศาสนา ซึ่งชาวอีสานยึดถือและปฏิบัติกันมาช้านานและอย่างเคร่งครัด เพราะถือว่าเป็นงานบุญใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ 
      
การจัดงานบุญผะเหวดนั้นอยู่ที่การเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดกหรือเทศน์มหาชาติ มีจำนวนทั้งหมด 13 กัณฑ์ โดยชาวอีสานมีความเชื่อว่าถ้าหากว่าฟังเทศน์ครบทั้งหมดวันเดียว และจัดเตรียมเครื่องคาย (บูชา) ได้ถูกต้อง ก็จะได้เกิดในศาสนาพระอริยเมตไตรย แต่ถ้าหากตั้งเครื่องคาย (บูชา) ไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดอาเพศและสิ่งไม่ดีต่างๆ ตามมา จึงทำให้ทุกคนในหมู่บ้าน ให้ความสำคัญกับงานนี้อย่างมาก โดยจะมาทำพิธีร่วมกันอีกประการหนึ่ง คือ เพื่อระลึกถึงพระเวสสันดร พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรบารมีชาติสุดท้ายของพระองค์ก่อนจะเสวยชาติ และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในภายหลัง      นอกจากการฟังเทศน์มหาชาติแล้ว ประเพณีนี้ยังได้แฝงความเชื่อหลายประการไว้ด้วย คือ ความเชื่อในเรื่องพระอุปคุต อันเป็นพระผู้รักษาพิธีต่างๆ ให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นตังแต่ต้นจนจบโดยเชื่อกันว่าในการทำบุญแต่ละครั้งจะมีมารเข้ามาขัดขวางทำลายพิธี ชาวพุทธจึงต้องนิมนต์พระอุปคุตมาร่วมพิธีด้วย เพื่อช่วยขจัดอันตรายต่างๆ และเกิดความสวัสดิมงคลอีกด้วย
      
การนิมนต์พระอุปคุตจะเริ่มทำก่อนวันเทศน์มหาชาติหนึ่งวัน เรียกว่า "มื้อโฮม (วันสุกดิบ)" ในตอนบ่ายจะทำพิธีแห่พระเวสส์ (พระเวสสันดร) เข้าเมือง หลังจากนั้นจะนิมนต์พระอุปคุตมาสถิต ณ บริเวณพิธี โดยมีขบวานแห่ดอกไม้ ธูป เทียน ขันห้าหรือขันแปด ไปยังสระน้ำที่อยู่ใกล้ๆ แล้วผู้อาวุโสจะหยิบก้อนหินจากสระน้ำถาม ครั้ง ก่อนจะนำหินมาสถิตๆ ไว้ยัง "หอพระอุปคุต" (สมมุติว่าหินนั้นเป็นพระอุปคุต) โดยกำหนดหอพระอุปคุตเป็นศาลเพียงตา หรือทำหิ้งบูชาอยู่ในมณฑลพิธี ซึ่งจะมีเครื่องบูชาต่างๆ ได้แก่ บาตรพระขันห้าหรือขันแปดผ้าไตรจีวร,พานหมากและพานยาสูบร่มกางกันแดดน้ำดื่มและกระโถน วางไว้
          บญผะเหวด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า บุญมหาชาติ เป็นประเพณีบุญตามฮีตสิบสองของชาวอีสาน แต่ถ้าถือเป็นเรื่องทาน ก็เป็นประเพณีการบริจาคทานครั้งยิ่งใหญ่ ในตำนานฮีตสิบสอง ได้กล่าวถึงการทำบุญผะเหวด ไว้ว่า "ฮอดเดือน ๔ ให้พากันเก็บ ดอกจาน สานบั้งไม้ไผ่เสียบดอกจิก ..." ก็พอจะอนุมานได้ถึงสภาพทั่วไปของชาว อีสานว่า ดอกจิก ดอกจาน บานราวต้นเดือนสาม พุทธศาสนิกชนจะเก็บดอกไม้เหล่านี้ มาร้อยเป็นมาลัยเพื่อตกแต่งศาลาการเปรียญสำหรับบุญมหาชาตินี้เอง และในงานนี้ ก็จะมีการเทศน์มหาชาติ ซึ่งถือว่าเป็นงานอันศักดิ์สิทธิผู้ใดฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียว และบำเพ็ญคุณงามความดี จะได้อานิสงส์ ไปเกิดในภพพระอริยเมตไตรย์
เมษายน
 บุญสงกรานต์
สถานที่จัดกิจกรรม     อำเภอรัตนวาปี  จังหวัดหนองคาย
(บุญสรงน้ำ) เป็นการทำบุญวันขึ้นปีใหม่ของไทยแต่โบราณ นิยมทำในเดือนห้าเริ่มตั้งแต่วันที่ 13เมษายนถึงวันที่ 15 เมษายน คำว่า สงกรานต์ เป็นคำสันสกฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไป ในที่นี้ หมายถึง พระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศรีหนึ่ง เป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่การทำบุญสงกรานต์จะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ นอกจากนี้ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตรก่อพระเจดีย์ทรายและมีการละเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานนานตลอดทั้ง 3 วัน

พฤษภาคม
 บุญบั้งไฟ
สถานที่จัดกิจกรรม     อำเภอรัตนวาปี  จังหวัดหนองคาย
บุญบั้งไฟเป็นงานสำคัญของชาวอีสานก่อนลงมือทำนา ด้วยความเชื่อว่าเป็นการขอฝนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข ในงานจะมีการแห่บั้งไฟ และจุดบั้งไฟ เพราะเชื่อว่า เป็นการส่งสัญญาณขึ้นไปบอกพญาแถน ให้ส่งน้ำฝนลงมาระหว่างที่มีการจุดบั้งไฟชาวบ้านจะมีการเซิ้งอย่างสนุกสนาน การทำบุญบั้งไฟนับเป็นการชุมนุมที่สำคัญของคนในท้องถิ่น ที่มาร่วมงานบุญกันอย่างสนุกสนานเต็มที่ มีการนำสัญลักษณ์ทางเพศมาล้อเลียนในขบวนแห่บั้งไฟ โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องหยาบคาย การทำบุญบั้งไฟนี้ บางทีจะตรงกับประเพณีบุญวันวิสาขบูชาด้วย

มิถุนายน
 วันสุนทรภู่
สถานที่จัดงาน    สถานศึกษาทุกแห่งในอำเภอรัตนวาปี
ความหมาย
         วันสุนทรภู่  หมายถึง  วันคล้ายวันเกิดของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวัง  ซึ่งมีผลงานด้านบทกลอนที่มีคุณค่าแก่แผ่นดินเป็นจำนวนมาก
ประวัติความเป็นมา
           องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์  และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)  ซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลก  ด้วยการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลกในวาระครบรอบ ๑๐๐ ปีขึ้นไป  ประจำทุกปี  โดยมีวัตถุประสงค์โดยสรุป  คือ
         
๑.  เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกให้ปรากฏแก่มวลสมาชิกทั่วโลก
         
๒.  เพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ
         
ในการนี้  รัฐบาลไทย  โดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา  วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ  กระทรวงศึกษาธิการ  จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงนดีเด่นทางวัฒนธรรม  เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่องสุนทรภู่ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลกในวาระครบรอบ  ๒๐๐  ปีเกิด  เมื่อวันที่  ๒๖  มิถุนายน  ๒๕๒๙  โดยมีประวัติและผลงานของสุนทรภู่  ดังนี้
         
สุนทรภู่   กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์  เกิดเมื่อวันที่  ๒๖  มิถุนายน  พ.ศ.๒๓๒๙  ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง  (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน)  บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ  อำเภอแกลง  จังหวัดระยอง  ตามสันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง  บิดามารดาเลิกร้างกันตั้งแต่สุนทรภู่เกิด  บิดาออกไปบวชที่วัดป่า  ตำบลบ้านกร่ำ  อำเภอแกลง  อันเป็นภูมิลำเนาเดิม  ส่วนมารดากลับเข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง  และได้ถวายตัวเป็นนามนมของพระธิดาในกรมฯ  นั้น
         
ในปฐมวัยสุนทรภู่ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระราชวังหลัง  และได้อาศัยอยู่กับมารดา  สุนทรภู่ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว  (วัดศรีสุดาราม)  ตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักการแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น  ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย  ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้  เมื่ออายุราว  ๒๐  ปี ในระยะนี้ได้ลอบรักกับหญิงสาวชาววังชื่อ "จันทร์"  จึงต้องเวรจำทั้งชายหญิง  เมื่อกรมพระราชวังหลังทิวงคตจึงพ้นโทษ  ต่อมาจึงได้แม่จันทร์เป็นภรรยา  แต่อยู่ด้วยกันไม่นานก็เกิดระหองระแหงคงจะเป็นเพราะสุนทรภู่เมาสุราอยู่เป็นนิตย์
         
ในสมัยรัชกาลที่ ๒  สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์  และเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  จนได้รับแต่งตั้งเป็นขุนสุนทรโวหาร  เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด  ระยะนี้สุนทรภู่ได้หญิงชาวบางกอกน้อยที่ชื่อ  นิ่ม  เป็นภริยาอีกคนหนึ่ง  ต่อมาในราว  พ.ศ.๒๓๖๔  สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่  แต่ติดอยู่ไม่นานก็พ้นโทษเพราะความสามารถในทางกลอนเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านนภาลัย
         
สมัยรัชกาลที่ ๓  สุนทรภู่ถูกกล่าวหาด้วยเรื่องเสพสุรา  และเรื่องอื่นๆ  จึงถูกถอดออกจากตำแหน่งขุนสุนทรโวหาร  ต่อมาสุนทรภู่ออกบวชที่วัดราชบูรณะ  (วัดเลียบ)  และเดินทางไปจำพรรษาตามวัดต่างๆ  และได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชนม์  สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท  รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ  ๑๐  พรรษา  สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง  แต่อยู่ได้เพียง  ๒  พรรษาก็ลาสิกขาบท  และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์  ณ  พระราชวังเดิม  รวมทั้งได้อุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย
         
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ได้ครองราชย์  ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง)  สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรโวหาร  ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวัง  ในปี พ.ศ.๒๓๙๔  และรับราชการต่อมาได้  ๔  ปี  ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ.๒๓๙๘  รวมอายุได้  ๗๐  ปี 
งานของสุนทรภู่
       หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก  เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้ คือ
๑.  ประเภทนิราศ
              
นิราศเมืองแกลง
              
นิราศพระบาท
              
นิราศเมืองสุพรรณ  (แต่งเป็นโคลง)
              
นิราศวัดเจ้าฟ้า
              
นิราศอิเหนา
              
นิราศพระประธม
              
นิราศเมืองเพชร
๒.  ประเภทนิทาน
              
เรื่องโคบุตร
              
เรื่องพระอภัยมณี
              
เรื่องพระไชยสุริยา
              
เรื่องลักษณวงศ์
              
เรื่องสิงหไกรภพ
๓.  ประเภทสุภาษิต
             
สวัสดิรักษา
             
เพลงยาวถวายโอวาท
             
สุภาษิตสอนหญิง
๔.  ประเภทบทละคร
             
เรื่องอภัยณุราช
๕.  ประเภทบทเสภา
             
เรื่องขุนช้างขุนแผน
             
เรื่องพระราชพงศาวดาร
๖.  ประเภทบทเห่กล่อม
            
เห่จับระบำ
            
เห่เรื่องพระอภัยมณี
            
เห่เรื่องโคบุตร

 
กรกฎาคม
 วันวิสาขบูชา  หมายถึง  การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะหรือเดือน  ๖  เนื่องในโอกาสคล้ายวันพระพุทธเจ้า  ประสูตร  ตรัสรู้  และเสด็จดับขันธปรินิพพาน  
ประวัติความเป็นมา
๑. ส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

           
พระพุทธเจ้าประสูติ  ณ  สวนลุมพินีวัน  อยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ  แคว้นสักกะ  (ปัจจุบันอยู่ในเมืองลุมมินเด  ประเทศเนปาล)  เมื่อเช้าวันศุกร์ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๖  ปีจอ  ก่อนพุทธศักราช  ๘๐  ปี  ต่อมาพระองค์ได้เสด็จออกผนวช  และทรงบำเพ็ญเพียรอย่างหนักจนได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมาสัมโพธิญาณ  ณ  ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  แคว้นมคธ  (ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองพุทธคยา  แคว้นพิหาร  ประเทศอินเดีย)  เมื่อเช้ามืดวันพุธ  ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๖  ปีระกา ก่อนพุทธศักราช  ๔๕  ปี  หลังจากตรัสรู้แล้ว  พระองค์ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ  โปรดผู้ควรแนะนำสั่งสอนให้ได้บรรลุมรรคผลจนนับไม่ถ้วน  และเสด็จดับขันธปรินิพพาน  เมื่อวันอังคารขึ้น  ๑๕  ค่ำ  เดือน  ๖  ปีมะเส็ง  ณ  สาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์  เมืองกุสินารา  แคว้นมัลละ  (ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองกุสีนคระ)  แคว้นอุตตรประเทศ  ประเทศอินเดีย  สิริรวมพระชนมายได้  ๘๐  พรรษา
 
๒. การถือปฏิบัติวันวิสาขบูชาในประเทศไทย
      
 การประกอบพิธีวิสาขบูชาในเมืองไทยเริ่มทำมาแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี  ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะได้รับแบบอย่างมาจากลังกา  กล่าวคือ  เมื่อประมาณ พ.ศ.๔๒๐  พระเจ้าภาติกราช  กษัตริย์แห่งลังกา  ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่างมโหฬาร  เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา  กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อๆ  มา  ก็ทรงดำเนินรอยตาม  แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่
          
ในสมัยสุโขทัยนั้น  ประเทศไทยกับประเทศลังกา  มีความสัมพันธ์กันทางด้านพระพุทธศาสนาอย่างใกล้ชิดมาก  เพราะพระสงฆ์ชาวลังกาได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา  และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย  ในหนังสือนางนพมาศ  ได้กล่าวถึงบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้พอสรุปใจความได้ว่า
         "
เมื่อถึงวันวิสาขบูชา  พระเจ้าแผ่นดิน  ข้าราชบริพารทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน  ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุกหมู่บ้านทุกตำบล  ต่างช่วยกันทำความสะอาด  ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษด้วยดอกไม้ของหอม  จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วทั้งพระนคร  เป็นการบูชาพระรัตนตรัยเป็นเวลา  ๓  วัน  ๓  คืน  พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์  ก็ทรงศีลและทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ  ครั้นตกเวลาตอนเย็น  ก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์  และนางสนองพระโอษฐ์  ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในเสด็จไปยังพระอารามหลวง  เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน  ส่วนชาวสุโขทัยต่างชวนกันรักษาศีล  ฟังพระเทศนา  ถวายสลากภัต  ถวายสังฆทาน  ถวายอาหารแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน  คนกำพร้า  คนอนาถา  คนแก่และคนพิการ  บางพวกก็ชักชวนกันสละทรัพย์ซื้อสัตว์  ๔  เท้า  ๒  เท้า  และเต่า  ปลา  เพื่อไถ่ชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระโดยเชื่อว่าจะทำให้ตนมีอายุยืนยาวต่อไป"
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่พึงปฏิบัติ
        anibilliard_green.gif ทำความสะอาดบ้าน  วัด  สมาคม  มูลนิธิ  หน่วยงาน  องค์กร  ประดับธงชาติและธงธรรมจักร  จัดแต่งที่บูชาประจำบ้านและประดับไฟ  ถวายเป็นพุทธบูชา
        
anibilliard_green.gif วัด  สมาคม  มูลนิธิ  หน่วยงาน  องค์กร  สื่อมวลชน  ประชาสัมพันธ์เรื่องวันวิสาขบูชาโดยใช้สื่อทุกรูปแบบ
        
anibilliard_green.gif จัดพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับความสำคัญของวันวิสาขบูชา  รวมทั้งหลักธรรมเรื่อง  ความกตัญญูอริยสัจ ๔  และความไม่ประมาท  ตลอดทั้งแนวทางปฏิบัติเพื่อเผยแผ่แก่ประชาชนในท้องถิ่น  และตามสถานที่ชุมชน  สนามบิน  สถานีรถไฟ  สถานีขนส่ง  โรงธรรม  ศูนย์การค้า  และยานพาหนะต่างๆ
        
anibilliard_green.gif  เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรม  ปฏิบัติธรรม  และพิธีกรรมทางศาสนา  เช่น  ทำบุญ  ตักบาตร  ฟังธรรม  รักษาศีล  ไหว้พระ  สวดมนต์
        
anibilliard_green.gif  รณรงค์ทางสื่อมวลชนต่างๆ  ให้ลดละ  เลิก  อบายมุข  และให้งดจำหน่ายสิ่งเสพติดทุกชนิด
        
anibilliard_green.gif  ประกาศเกียติคุณสถาบัน  หรือบุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม
        
anibilliard_green.gif  รณรงค์ให้มีการรักษาสภาพแวดล้อม  ปลูกต้นไม้  ทำความสะอาดที่สาธารณะ
        
anibilliard_green.gif  จัดประกวดบทร้อยกรอง  บทความ  บรรยายธรรม  คำขวัญเกี่ยวกับวันวิสาขบูชาและสวดสรภัญญะ
        
anibilliard_green.gif  ยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ประพฤติดีและทำคุณประโยชน์ในสังคม
        
anibilliard_green.gif  จัดกิจกรรมสงเคราะห์คนชรา  เด็ก  คนพิการ  พระสงฆ์อาพาธ  ผู้ต้องขัง  ผู้ด้อยโอกาสในสังคม

สิงหาคม
 วันแม่แห่งชาติ
สถานที่จัดกิจกรรม    อำเภอรัตนวาปี  โดยองค์การบริหารส่วนตำบลทุกแห่ง
ประวัติความเป็นมา
           วันแม่แห่งชาติหรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า  "วันแม่"  ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี  เนื่องจากวันสำคัญนี้  ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ  คือวันที่  ๑๒  สิงหาคม  อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่แห่งชาติด้วย
           
แต่เดิมนั้น  วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาวันที่  ๑๕  เมษายนของทุกๆ  ปี  ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง  เมื่อวันที่  ๒๓  กุมภาพันธ์  พ.ศ.๒๔๙๓  ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักงานวัฒนธรรมฝ่ายหญิง  สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงานวันแม่มาตั้งแต่วันที่  ๑๕  เมษายน  พ.ศ.๒๔๙๓  เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้น  ได้รับความสำเร็จด้วยดี  ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างออกไปได้  การจัดงานไม่เพียงแต่จัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น  แต่ยังจัดให้มีการประกวดแม่ของชาติ  ประกวดคำขวัญวันแม่  ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกียรติแก่แม่  และเพื่อเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่งๆ ขึ้น  ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาล ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม (สมัยนั้น) แต่ทั่วไปเรียกกันว่า  วันแม่แห่งชาติ
           
ต่อมาถึง พ.ศ.๒๕๑๙  ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ  คือ  วันที่  ๑๒  สิงหาคม  เป็นวันแม่แห่งชาติ  เริ่มในปี พ.ศ.๒๕๑๙  เป็นต้นมา  
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่พึงปฏิบัติ
        anibilliard_green.gif เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์  พระบรมราชินีนาถ
        
anibilliard_green.gif ข้อเสนอแนะและตัวอย่างการจัดกิจกรรมในวันแม่แห่งชาติ  (เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจถึงพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ  ที่พระองค์ทรงมีต่อประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทย  แก่บุคคลทั่วไปเพื่อตระหนักถึงความสำคัญ
        
anibilliard_green.gif  บทบาทหน้าที่ของบุตรที่พึงปฏิบัติต่อมารดา
        
anibilliard_green.gif  บทบาทหน้าที่ของมารดาที่พึงปฏิบัติต่อบุตร
        
anibilliard_green.gif  ข้อเสนอแนะและตัวอย่างการจัดกิจกรรมในวันแม่แห่งชาติ  (เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของมารดาและบุตรเพื่อนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

กันยายน
 ประเพณีแข่งเรือยาว 
     ประเพณีแข่งเรือยาวถือเป็นประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่ชาวบ้านริมแม่น้ำโขงที่ทำสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีน้ำมาก โดยผู้คนในชุมชนจะช่วยกันจัดงานขึ้น มีการคัดเลือกฝีพายที่เป็นชายฉกรรจ์มาลงแข่งขัน และทุกหมู่บ้านจะต้องมีเรือเข้าแข่งขันร่วมกันด้วย ประเพณีการแข่งเรือยาว แบ่งออกได้ ประเภท ดังนี้ เรือยาวประเภททั่วไป ตั้งแต่ 45 -55 ฝีพาย เรือยาวประเภทท้องถิ่น กำหนดฝีพายตั้งแต่ 45 ? 55 ฝีพายส่วนเรือยาวเล็กกำหนดฝีพายตั้งแต่ 15- 25ฝีพาย
     การจัดประเพณีแข่งขันเรือยาวนั้นจุดประสงค์หลักคือ เพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชุมชน เพื่อสักการะเจ้าแม่สองนาง และเพื่อเป็นการส่งเสริมและสืบทอดประเพณีแก่เด็กและเยาวชนรุ่นหลัง ประชาชนได้เกิดความซาบซึ้งและตระหนักถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมไทย ตลอดจนการอนุรักษ์ฟื้นฟูประเพณีอันดีงามของไทยไว้ให้อยู่คู่บ้านเมือง และยังเป็นการปลูกฝังให้รู้รักถิ่นฐานบ้านเกิด ซึ่งเป็นประเพณีที่ควรทำสืบต่อไป   

ตุลาคม
 งานชมบั้งไฟพญานาค
สถานที่จัดกิจกรรม  บ้านน้ำเป   บ้านท่าม่วง  บ้านหนองแก้ว   อ.รัตนวาปี
บั้งไฟพญานาค หรือ บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ โดยมีลักษณะเป็นลูกไฟสีชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง พุ่งขึ้นเหนือลำน้ำโขง มีตั้งแต่ระดับ 1-30 เมตร แล้วพุ่งขึ้นไปในอากาศสูงประมาณ 50-150 เมตร เป็นเวลาประมาณ 5-10 วินาที โดยจะเกิดปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ในช่วงวันออกพรรษา หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ตามปฏิทินลาว ซึ่งอาจตรงกับวันแรม 1 ค่ำ หรือ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของไทย โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 วัน
มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬ โดยในจังหวัดหนองคายจะพบที่หน้าวัดไทย และบ้านน้ำเป อำเภอรัตนวาปี วัดหินหมากเป้ง และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม ส่วนที่จังหวัดบึงกาฬจะพบที่วัดอาฮง อำเภอเมืองบึงกาฬ
ผู้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคหลายกลุ่ม พยายามอธิบายที่มาของปรากฏการณ์นี้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น คาดว่าอาจจะเป็นก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน หรือ ฟอสฟอรัส ที่เกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ
นอกจากประเทศไทยแล้ว ที่อื่น ๆ ในโลกก็มีรายงานการพบปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้เช่นกัน เช่นที่ มลรัฐมิสซูรี และ มลรัฐเท็กซัส ของสหรัฐอเมริกา โดยเรียกกันว่า แสงมาร์ฟา (Marfa lights) นอกจากนี้ยังพบที่เมืองเจดด้าห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ริมฝั่งทะเลแดง

พฤศจิกายน
กฐินอำเภอรัตนวาปี
สถานที่จัดกิจกรรม   วัดในเขตอำเภอรัตนวาปี   ตั้งองค์กฐิน    ที่ว่าการอำเภอรัตนวาปี
กฐิน (บาลี: กฐิน, เขมร: ) เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้[1] โดยคำว่ากฐิน หรือการกรานกฐิน จัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลา คือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด1 ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้ว กฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วย แต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท[2]
การได้มาของผ้าไตรจีวรอันจะนำมากรานกฐินตามพระวินัยบัญญัติของเถรวาทนี้ พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามการรับผ้าจากผู้ศรัทธาเพื่อนำมากรานกฐิน[1] ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เกิดทานพิธีการถวายผ้ากฐิน หรือการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนขึ้น และด้วยการที่การถวายผ้ากฐินนั้น จัดเป็นสังฆทาน คือถวายแก่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เพื่อให้คณะสงฆ์นำผ้าไปอปโลกน์ ยกให้ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามที่คณะสงฆ์ลงมต (ญัตติทุติยกรรมวาจา) และกาลทาน ที่มีกำหนดเขตเวลาถวายแน่นอน คณะสงฆ์วัดหนึ่ง ๆ สามารถรับได้ครั้งเดียวในรอบปี จึงทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นบุญประเพณีนิยมที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย
ประเพณีการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนไทยมีมาช้านาน โดยมีทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ โดยการถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญประจำปี ในปัจุบันถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวรเพื่อใช้ในสังฆกรรมสำคัญของคณะสงฆ์ได้ถูกลดความสำคัญลงไป แต่กลับให้ความสำคัญกับบริวารของกฐินทานแทน เช่น เงิน หรือวัตถุสิ่งของ เพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
กฐินมีกำหนดระยะเวลาถวาย จะถวายตลอดไปเหมือนผ้าชนิดอื่นมิได้ ระยะเวลานั้นมีเพียง 1 เดือน คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 (วันเพ็ญเดือน 12) ระยะเวลานี้เรียกว่า กฐินกาล คือระยะเวลา ทอดกฐิน หรือ เทศกาลทอดกฐิน

ธันวาคม
 วันพ่อแห่งชาติ
สถานที่จัดกิจกรรม       ที่ว่าการอำเภอรัตนวาปี
ประวัติความเป็นมา
         วันพ่อแห่งชาติ  ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก  เมื่อวันที่  ๕  ธันวาคม  พ.ศ.๒๕๒๓  โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์  เสมรสุต  นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม
         
หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ
         
โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและสังคม  สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู  และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ  จึงถือเอาวันที่  ๕  ธันวาคม  ของทุกปี  ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น  "วันพ่อแห่งชาติ"  ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ  ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา  ทรงรักใคร่และห่วงใย  ตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่พึงปฏิบัติ
        
anibilliard_green.gif จัดประชุมสัมมนา/เสวนา
                       -  
พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ  ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
        
anibilliard_green.gif รณรงค์  เผยแพร่  ประชาสัมพันธ์
                       -  
พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ  ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
        
anibilliard_green.gif นิทรรศการ
                       -  
พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ  ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
        
anibilliard_green.gif คัดเลือก  ประกวด  แข่งขัน
                       -  
ประกวดการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ  ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น