วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติอำเภอรัตนวาปี(อัดเดตใหม่)

   ประวัติอำเภอรัตนวาปี

 เดิมเมืองปากห้วยหลวง ๓ กษัตริย์ บริเวณที่ตั้งอำเภอโพนพิสัยปัจจุบัน เป็นเมืองเก่าตามพงศาวดารล้านช้างเรียกว่า "เมืองปากห้วยหลวง" พ.ศ.๑๙๐๑   พระเจ้าฟ้างุ้มมหาราช เริ่มก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง และตีเมืองนี้ได้ และมีฐานะเป็น "เมืองหลวง" ซึ่งส่งเจ้าชายในราชวงศ์ล้านช้างมาครองเป็น "พญาปากห้วยหลวง" บางพระองค์ได้มีโอกาสไปครองราชย์ที่ "เชียงทอง" ถึง ๒ พระองค์ด้วยกัน คือ หลังจากพระเจ้าสามแสนไทสวรรคต พ.ศ.๑๙๕๘ แล้ว พระเจ้าคำแดงโอรสได้ครองราชย์ต่อถึง พ.ศ.๑๙๗๐ จึงสวรรคตโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่โบราณราชประเพณีไทย-ลาว สตรีจะครองราชย์ไม่ได้ "เจ้าคำเต็มพญาปากห้วยหลวง" พระสวามีเจ้าหญิงจึงครองแทนพักหนึ่ง แล้วหนีกลับเมืองปากห้วยหลวงดังเดิม เจ้าหญิงแก้วพิมพาซึ่งมีอำนาจมากในราชสำนักได้เชิญเจ้านายในราชวงศ์ครองราชย์ต่อหลายพระองค์ ระหว่าง พ.ศ.๑๙๗๑-๑๙๘๐  ครั้นจุบรรลุพระราชนิติภาวะก็มีเหตุสวรรคตติด ๆ กันถึง ๕-๖ พระองค์ จนมาเชิญ "เจ้าคำเกิด" โอรสพญาปากห้วยหลวง (คาดว่าเป็นโอรสพระเจ้าคำเต็มจากชายาอื่น) ไปครองราชย์อีกและสวรรคต พ.ศ.๑๙๘๓     อีก คราวนี้พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดีทนไม่ไหว จับพระนางแก้วพิมพาถ่วงแม่น้ำคาน ทางเหนือนครหลวงพระบางเสียและเชิญเจ้าไชยครองราชย์"พระเจ้าไชยจักรพรรดิ์แผ่นแผ้ว"สืบมาเมืองปากห้วยหลวงเกิดช้างเผือกอีกเชือกหนึ่ง เมื่อหลังสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ มหาราช พ.ศ.๒๑๑๔ พระเจ้าบุเรงนองผู้ชนะสิบทิศพิชิตเวียงจันทน์ ได้นำพระหน่อแก้ว ราชโอรสไปเมืองหงสาวดีเป็นตัวประกัน พระชันษาเพียง ๕  ปี แล้วให้ตาสำเร็จราชการล้านช้างแทน จารึกว่า "พระยาแสนสุรินทร์ขว้างฟ้าสุมังโดอัยโกโพธิสัตว์" อดีตพระยาปากห้วยหลวง พงศาวดารว่าท่านเป็นบุตรกวานบ้านฝั่งขวา (ผู้ใหญ่บ้าน) รับราชการทหาร รบเก่งและคงถวายบุตรสาวเป็นสนมด้วย ดังนั้นที่ชาวหนองคายเชื่อกันมาจึงมิใช่เรื่องเหลวไหล โดยนางสนม (ไม่ทราบ) อาจมีพระราชธิดาโอรส ๔ พระองค์ คือ "พระสุก พระเสริม พระใส" ซึ่งสร้างฉลองพระองค์ ส่วนองค์สุดท้ายคือพระราชโอรสชันษา ๕  ปี "พระหน่อแก้ว" พม่าจึงต้องให้ตาสำเร็จราชการให้หลานจึงมี "อัยโก" (ตา) ต่อท้าย นับว่าพญาปากห้วยหลวงเป็นกษัตริย์ล้านช้าง (หลวงพระบาง) ๒ พระองค์ และผู้สำเร็จราชการ(เวียงจันทน์)อีก      ท่าน รวม ๓  กษัตริย์   นักประวัติศาสตร์จำเป็นต้องรู้อักษรโบราณต่าง ๆ ประกอบด้วย โดยเฉพาะศิลาจารึกซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญเถียงไม่ได้ คือ จารึก "วัดแดนเมือง ๑ตำบลวัดหลวงใบเสมาหินทรายยอดเหลี่ยมสูง ๐.๙๘  เมตร กว้าง ๐.๔๙๘  เมตร มีดวงฤกษ์ด้านบน เป็นอักษรไทยน้อย (ล้านช้าง) รุ่นแรก ด้านหนึ่ง ๒๒ บรรทัด (ชำรุดบ้าง) ระบุว่าพระยาปากเจ้า (ปากห้วยหลวง ซึ่งต่อมาคือพระยาแสนสุรินทร์ฯ ผู้สำเร็จราชการฯ) เป็นผู้สร้างวัดนี้ พ.ศ.๒๐๗๓ ธรรมเนียมโบราณจะมีวัดประจำตระกูลที่เกิด นั่นคือ ท่านเกิดที่นี่นั่นเอง (เสียดายที่วัดได้โบกปูนใต้ฐานพระประธานแล้ว)เมืองศิลาจารึก เมืองปากห้วยหลวงในอดีต เป็นเมืองลูกหลวงและเมืองด่านสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง จึงมีศิลาจารึกมากที่สุด ซึ่ง ศ.ธวัช ปุณโณทก ได้เพียรพยายามถ่ายรูปและอ่านครบทุกหลัก เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๐  เป็นต้นมา ศิลาจารึกส่วนมากสร้างในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒มีสาระสำคัญ เช่น ประกาศเขตวิสุงคามสีมา การอุทิศที่นาให้วัด การอุทิศข้าทาสถวายวัด การสร้างบูรณะวัด การตั้งสังฆราช การประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินฯ ตัวอักษรเป็นแบบตัวธรรมผสมฝักขาม (ล้านนา) พัฒนาเป็น "อักษรไทยน้อย" (ล้านช้าง) ซึ่งประเทศลาวใช้ปัจจุบัน หลักสำคัญที่สุด คือ "วัดแดนเมือง ๒ต.วัดหลวง หลักที่ ๘๘ เป็นเสมาหินทราย สูง ๑.๒๐  เมตร กว้าง ๐.๖๙เมตร สร้าง พ.ศ.๒๐๗๘ สมัยพระเจ้าโพธิสารราชพระชนกพระไชยเชษฐาธิราชที่ ๑ มหาราช ว่า "ทั้งราชบัณฑิตชื่อนันทกุมารจำทูลพระราชอาญาลงไปชำนิในพระวิหารทั้งปวงในจันทบุรีราชธานี"แสดงว่าเวียงจันทน์ (จันทบุรี) เป็นราชธานีก่อน พ.ศ.๒๐๗๘  แล้ว สอดคล้องกับคำบอกเล่าของชาวบ้านอำเภอท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่ มิใช่เป็นราชธานี พ.ศ.๒๐๑๓  เมือพระเจ้าไชยเชษฐา    ธิราชที่ ๑  มหาราช ถอยทัพหนีพม่าล่องมาจากเชียงใหม่ และหลวงพระบาง หลังจากนั้นเมืองปากห้วยหลวงก็ค่อย ๆ ลดความสำคัญลง คาดว่าเพราะการวิวาทกันภายในราชวงศ์ล้านช้าง ตั้งแต่พระบรมราชาแห่งนครพนม พระราชโอรส พระเจ้านันทราชกรีพาทัพมาปราบ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๒ พ.ศ.๒๒๔๑ ถึงเมืองคุกชายฟอง (เวียงคุก-บ้านทรายฟอง) และกวาดต้อนผู้คนกลับ จน พ.ศ.๒๒๕๐ สมเด็จเจ้าราชครูวัดโพนสเม็ก (ญาคูขี้หอม) อพยพคนไปซ่อมพระธาตุพนมครั้งที่ ๔ ล่องไปจนตั้งอาณาจักรจำปาศักดิ์ และ พ.ศ.๒๓๑๐ พระวอ-พระตา วีรบุรุษอีสานนำอพยพครั้งใหญ่ลงไปสร้างอุบลราชธานี ยโสธรฯ จนเมืองนี้อาจร้างก็ได้เมืองโพนพิสัย เมื่อญาคูขี้หอมอพยพผู้คนไปภาคใต้นั้น ศิษย์เอกสำคัญท่านหนึ่ง คือ "จารย์แก้ว" (หรือเจ้าแก้วบูลม บูฮม) ได้ตั้ง "เมืองทุ่ง" (ท่ง) หรือ "เมืองสุวรรณภูมิ" (อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองด่านหน้ายันกับเวียงจันทน์ เชื้อสายของท่านได้แยกย้ายสร้างบ้านแปงเมืองมากมาย เช่น เมืองร้อยเอ็ด เมืองสารคาม เมืองธวัชบุรี เมืองจตุรพักตร์พิมาน ฯลฯ ต้นตระกูลสำคัญของภาคอีสาน เช่น  "ธนสีลังกุล ณ ร้อยเอ็ด ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม สุวรรณธาดา ฯลฯ ครั้น พ.ศ.๒๓๖๙ พระเจ้าไชยเชยเชษฐาธิราชที่ ๓ (เจ้าอนุวงศ์) แห่งเวียงจันทน์ แข็งเมืองบุกมาถึงนครราชสีมา และถูกยันทัพกลับไป ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพหลวง เจ้าพระบดินทรเดช (สิงห์ สิงหเสนี)  สมุหนายกมหาดไทยเป็นแม่ทัพหน้าปราบเวียงจันทน์ได้ครั้งที่ ๑ แต่เจ้าอนุวงศ์หนีไปได้ จนสมุหนายกกรีฑาทัพมาปราบครั้ง ๒ ตั้งทัพอยู่ค่ายพานพร้าว (บริเวณ นปข.ปัจจุบัน) และถูกหลอกล่อจนค่ายแตกหนีไปเมืองยโสธรคู่แค้นเวียงจันทน์ดั้งเดิมจึงตามมาสมทบ เช่น บุตรหลานพระบรมราชาแห่งนครพนม บุตรหลานพระวอ-พระตา แห่งอุบลราชธานี และบุตรหลานจารย์แก้วแห่งสุวรรณภูมิ ช่วยเจ้าคุณสมุหนายกถล่มเวียงจันทน์จน "ฮ้างดังโนนขี้หมาจอก" หน่วยโสถิ่ม (กล้าตาย) นำโดย ท้าวสุวอธรรม (บุญมา) อุปฮาดยโสธรได้เป็น "พระปทุมเทวาภิบาลที่ ๑ แห่งหนองคาย" (แทนที่เวียงจันทน์) ต้นตระกูล "ณ หนองคาย" มาจะกล่าวบทไปถึง "ท้าวตาดี" บุตร พระยาขัติยวงษา (สีลัง) แห่งเมืองร้อยเอ็ดได้รับบัญชาจากเจ้าคุณแม่ทัพมาสกัดเจ้าอนุวงศ์ เพื่อมิให้หนีไปญวนอีก โดยตั้งทัพอยู่บ้านโพนแพง จึงเรียกกันว่า "เจ้าโพนแพง" ครั้นเสร็จศึกจึงยกเป็น "เมืองโพนแพง" ท้าวตาดีได้เป็น " พระยาพิสัยสรเดช" เจ้าเมือง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๓ ต้นตระกูล "พิสัยพันธ์" สืบมาจะเป็นด้วยเหตุใดไม่ชัดแจ้ง พระพิสัยสรเดช (ตาดี) ได้ย้ายที่ตั้งเมืองจากโพนแพงมาอยู่ ณ เมืองปากห้วยหลวงเก่าซึ่งคงจะร้างในสมัยนั้น และเอาชื่อเมืองโพนพิสัยมาตั้งที่นี่ พื้นที่ตำบลโพนแพงก็ห่างไกล จึงขอยก " บ้านหนองแก้ว" ขึ้นเป็น"เมืองรัตนวาปี" อีกเมืองหนึ่ง พ.ศ.๒๔๐๑ สมัยล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๔ ให้ "ท้าวคำสิงห์" ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นบุตรหลานญาติ ๆ กันเป็น "พระศรีสุรศักดิ์" เจ้าเมืองสืบมา เป็นต้นเหตุความสับสนชื่อบ้านนามเมืองแห่งนี้ คือ แทนที่อำเภอโพนพิสัยปัจจุบันจะใช้ชื่อ"เมืองปากห้วยหลวง" ดังอดีต และโพนแพงจะใช้ชื่อโพนพิสัย กลับใช้ชื่อ "เมืองรัตนวาปี" เมื่อเกิดศึกฮ่อครั้งแรก พ.ศ.๒๔๑๘บุกเวียงจันทน์นั้น ราชวงศ์เมืองหนองคาย ซึ่งรักษาการแทนกับพระพิสัยสรเดช (หนู) เมืองโพนพิสัยถูกฆ่าตายพระศรีสุรศักดิ์ (คำสิงห์ สิงหศิริ) เจ้าเมืองรัตนวาปีได้รับแต่งตั้งเป็น "พระรัตนเขตรักษา" เจ้าเมือง     โพนพิสัยแทนซึ่งท่านได้แสดงความกล้าหาญรบพุ่งกับฮ่อหลายครั้งจนเกิดศึกกับฝรั่งเศส พ.ศ.๒๔๓๖ ปราบขบถผีบุญ พ.ศ.๒๔๔๔ ปราบเงี้ยวเมืองบ่อแตนแก่นท้าว (แขวงไชยบุรีของลาวปัจจุบันเหนือจังหวัดเลย ซึ่งยังเป็นของสยามอยู่ จน พ.ศ.๒๔๔๙เมื่อ พ.ศ๒๔๔๗ ท่านเป็นบุตรของพระฤกษ์มนตรี และนางจอมสี(น่าจะคณะอาญาสี่ตระกูล พิสัยพันธ์) เกิดบ้านจอมนาง พ.ศ.๒๓๗๕ เพิ่งถึงแก่อสัญกรรมเอ พ.ศ.๒๔๙๗ รวมอายุถึง ๑๒๐ ปีเดือน เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๙ ท่านได้เป็น "พระยาพิสัยสรเดช" แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า "พระยาโพนพิสัย" ผู้ว่าราชการเมืองและยุบเมืองเป็นอำเภอโพนพิสัย และยุบเมืองรัตนวาปี เป็นตำบลในปีนั้น (กำหนดแน่นอนยังค้นไม่ได้) จน พ.ศ.๒๔๕๘ จึงได้ขอพระราชทานนามสกุลว่า "สิงหศิริ" อีกสายหนึ่ง เมื่อเกษียณราชการเป็นจางวางที่ปรึกษา พ.ศ.๒๔๕๙ จึงเปลี่ยนราชทินนามเป็น "พระยาสุนทรธรรมธาดา" (คำสิงห์)จ้าเมืองโพนพิสัยราชทินนาม คือ "พระพิสัยสรเดช" ส่วน "พระศรีสุรศักดิ์" เป็นเจ้าเมือง     รัตนวาปี ครั้นมาครองเมืองชั่วคราวจึงเป็น "พระรัตนเขตรักษา" จนเต็มตัว จึงเป็น "พระยาพิสัยสรเดช" ครั้นเกษียณ จึงเป็น "พระยาสุทรธรรมธาดา" จางวางที่ปรึกษา ส่วนตระกูลเจ้าเมืองทั้ง ๒ เมืองนั้น คือ "พิสัยพันธ์" จากท้าวตาดี (เจ้าโพนแพง) แห่งร้อยเอ็ด สืบจากจารย์แก้วบูลม และมาแตกแขนงตามราชทินนาม หรือชื่อต่อมาเป็น "สิงคศิริสิมะสิงห์,สิริสิงห์"ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชปรารถในการปรับปรุงการปกครองแผ่นดินว่า "เดิมเรานิยมแบบ  จักรพรรดิราชาธิราช" มีประเทศราชน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นการพ้นสมัยแล้ว ควรปรับให้เป็นพระราชอาณาเขตเดียวกันเสีย (ปัจจุบันใช้พระราชอาณาจักร) คือ กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา,กรุงธนบุรีและกรุงเทพ ก่อน   พ.ศ.๒๔๓๕ นั้นทรงอยู่ในฐานะ "สมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์"ด้วย แต่เล่นศัพท์ว่า "สมเด็จพระบรมราชาธิราช" (พระราชาผู้ใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลาย) อาณาจักรล้านช้างทั้งสาม (คือลาวและภาคอีสาน) ก็มีพระราชา ซึ่งยอมรับพระบรมเดชานุภาพถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ๓ ปีครั้ง เรียกว่า "พระเจ้าเทศราชหลวงพระบางเวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ คณะปกครองเรียก "เจ้าย่ำขะหม่อมทั้งสี่" คือ พระเจ้าประเทศราช เจ้าอุปฮาดเจ้าราชวงศ์เจ้าราชบุตร (หลังลาวเป็นเอกราชจึงเพิ่มสมเด็จ) ย่อมลงมาเรียก "เจ้าประเทศราช" ใช้ "พระ" ในความหมาย เจ้า(เช่น พระวอ พระตา คือเจ้าวอ เจ้าตา) คณะผู้ปกครองเรียก"อาญาสี่" คือ เจ้าประเทศราชเจ้าอุปฮาดเจ้าราชวงศ์เจ้าราชบุตรและมีเมืองในสังกัด ซึ่งเมืองต่าง ๆ จะมีอาญาสี่เช่นกัน แต่เรียกว่า "เจ้าเมืองอัครฮาดอัครวงศ์วรบุตร"ฉะนั้นหนองคายจึงมิใช่เจ้าเมืองแต่เป็น "เจ้าประเทศราช" ผู้รั้งอาณาจักรเดิมของพระเจ้าประเทศราชเวียงจันทน์ซึ่งคุมไปถึงเมืองพวน (แขวงเชียงขวาง) ติดกับเวียดนาม ครั้นตั้งมณฑล ณ เมืองหนองคายจึงยืนยันสิทธิ์ว่า "มณฑลลาวพวน"กับฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่คนแม่น้ำโขงคือลาวลุ่ม (หรือไทยลุ่ม) และลาวเวียงมิใช่ลาวพวน ซึ่งมีสำเนียงพูดอีกต่างหากเมืองโพนพิสัย หลัง พ.ศ.๒๓๗๐ คงเป็นกำลังสำคัญของประทศราชหนองคาย เพราะเกิดศึก "อานามสยามยุทธ" ถึง๑๕ ปี และอาจมีส่วนในการขอตั้งเมืองต่าง ๆ ทั้ง ๒ ฝั่งโขงด้านใต้ เช่นเมืองประชุมพนาลัย (ปากซัน) เมืองกาฬวาปี (บึงกาฬ)จนวิวาทกับเมืองไชยบุรีของเจ้าประเทศราชพนม มีเอกสารสมัยรัชกาลที่ ๓ ให้แบ่งเขตแดนกันว่า "ตั้งแต่ลำน้ำโขงฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือเพียงปากห้วยบางบาตร (บังบาตร) ปากน้ำโขงฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ เพียงห้วยแฮ่ต่อเขตนครพนม เลี้ยงตามลำห้วยสงคราม (แม่น้ำ) จนถึงห้วยแฮต (แรด) ทางใต้ต่อไปเหนือเขาทอก (ภูทอก) ตามตราพระราชสีห์ใหญ่ ปีจอ สัมฤทธิศกจศ.๑๒๐๐ พ.ศ.๒๓๘๑ แต่ต่อมาเมืองไชยบุรี (ปากแม่น้ำสงคราม) ก็ยุบมารวมกับเมืองกาฬวาปีเป็นอำเภอบึงกาฬต่อมาและแยกอีกหลายอำเภอ  สมเด็จกรม    พระยาดำรงราชานุภาพ ปฐมเสนาบดีมหาดไทยเสด็จตรวจราชการแม่น้ำโขง เมื่อเดือนมกประทับ "เรือคำหยาด" ของเจ้าประเทศราชหนองคาย (เรือนี้ยังอยู่บ้านกวนวัน) และฝรั่งเศสจัดเรือลาเครนเดีย ซึ่งเป็นเรือกลไฟลำแรกของแม่น้ำโขงออกจากเมืองหนองคาย เมื่อวันที่ ๗ มกราคม เวลา ๐๗.๕๐ น. ทรงบรรยายทัศนียภาพแม่น้ำโขง สองฝั่งงดงามมาก เวลา ๑๐.๓๐ น. "ถึงเมืองโพนพิสัย พระยาพิสัยสรเดช ได้ล่วงหน้ามารับ แวะขึ้นดูเมืองโพนพิสัย แล้วไปบ้านพระยาพิสัยสรเดชพอหมดเวลาครึ่งชั่วโมงที่กำหนดไว้ก็กลับลงเรือ" และ "เวลา ๑๒.๔๐ น. ผ่านหน้าเมืองรัตนวาปี เลยปากน้ำคาดไปหน่อยหนึ่ง" แสดงว่าตัวเมืองได้ย้ายจาก บ้านหนองแก้ว มาอยู่บ้าน ปากคาด แล้ว เพราะเดิมไม่มีอาคารราชการใช้จวนเจ้าเมืองว่าการ  หลังจากเสด็จกลับจึงยุบเมืองโพนพิสัยเป็นอำเภอ เมืองรัตนวาปีเหลือชื่อแค่ตำบล เพิ่งจะมายกเป็น       กิ่งอำเภอรัตนวาปี เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๘ และยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น